{SF/OS} BAEKHWI 12.04 am




*แรงบันดาลใจจากเพลงนี้ ฟังคลอๆตอนอ่าน





 พระจันทร์ที่ส่องแสงสว่างในค่ำคืนที่มืดมิด กลับดูเดียวดายอย่างน่าหดหู่



12.04 am

             ชีวิตการทำงานของผมเริ่มตอนฟ้ามืดและจบลงเมื่อฟ้ามืด แทบไม่เคยเห็นแสงสว่างของพระอาทิตย์ สิ่งที่สว่างที่สุดที่เคยเห็น

ก็คงเป็นแสงพระจันทร์ในคืนที่มืดมิด ที่ส่องสว่างไปทั่วท้องฟ้า คนอื่นอาจคิดว่าพระจันทร์ดูยิ่งใหญ่มากในคืนที่ไม่มีเมฆ แต่กลับคิดว่า

มันช่างดูโดดเดี่ยวเดียวดายจนน่าใจหาย


ทุกคืนผมเดินเลาะถนนเลียบแม่น้ำเพื่อกลับบ้าน แต่ก็ไม่ลืมที่จะพาขาของตัวเองให้เดินลงไปหยุดที่ริมแม่น้ำในวันนี้ สายตาของผม

จ้องมองแสงดวงจันทร์ที่กระทบกับน้ำขึ้นเป็นแสงแววระยับ งดงามพอๆกับเพชรที่ส่องสว่างเพื่อกระทบกับแสง

ผมยอมเสียสละเวลานอนที่มีเพียงแค่สี่ชม.เพื่อมายืนมองพระจันทร์งั้นหรอ? คิดแล้วก็หัวเราะออกมาเบาๆ มือล้วงซองบุหรี่ขึ้น ดัน

บุหรี่หนึ่งตัวขึ้นมาคาบ แล้วจุดไฟที่ปลายบุหรี่ การดูดบุหรี่ก็เหมือนการที่เรายอมรับสิ่งที่เลวร้าย ทั้งสารเคมี สารเสพติด ก็เป็นไปตาม

หน้าซองที่ผู้ผลิตพียรบอกหนักหนาว่าเป็นอันตราย แต่รสชาติของชีวิตมักแย่กว่านั้นเสมอ ผมค่อยๆนั่งลงบนพื้นหญ้าข้างริมน้ำ มอง

นั่งลงมองเปลวไฟที่ค่อยๆลามที่ปลายบุหรี่ แล้วจับมันขยี้ลงกับพื้นหญ้าให้เปลวไฟดับ แล้วเอนตัวนอนลงบนพื้นหญ้าโดยที่ไม่คิดว่า

มันสกปรกหลับตาลง



สูบบุหรี่แล้วคิดถึงมึงขึ้นมาเลยว่ะ

กูขอโทษที่ทำตามที่มึงขอไม่ได้....



อยู่ๆใบหน้าของคนบางคนก็ผุดขึ้นมา พยายามเลิกนึกถึงคนคนนั้น สะบัดหน้าไปมาไล่ความคิดของตัวเอง

สายตาไปหยุดที่ร่างบางของคนคนหนึ่งที่กำลัง ยืนมองพระจันทร์ที่ไม่ไกลจากผมมาก คงดีไม่น้อยถ้าเวลานี้ ถ้าจะมีคนยืนมอง

พระจันทร์ด้วยกัน ผมลุกขึ้นแล้วเดินเข้าไปร่างบางที่ยืนอยู่ หยุดยืนข้างๆ จนคนข้างหันมามองด้วยความแปลกใจ ผมหัวเราะเบาๆเมื่อ

หันไปเห็นหน้าตาของคนตัวเล็กที่กำลังทำหน้างงๆอยู่


“นายคิดว่าพระจันทร์เหงาไหม ?”


 คำถามของผมกลับยิ่งทำให้คนตัวเล็กงงกว่าเดิม แต่ก็ยอมตอบคำถามของผม


“คงเหงามั้งครับ ก็อยู่คนเดียวบนนั้นนี่นา”


คนตัวเล็กตอบแล้วหันกลับไปมองพระจันทร์เหมือนกัน


“เข้ากับคนง่ายนะเรา ตอบคำถามคนแปลกหน้าด้วย”


ผมอดไม่ได้ที่แซ็ว ก่อนจะหยิบบุหรี่ขึ้นมาสูบอีกตัว ก็มือมันว่าง มันรู้สึกเกร็งๆ ทั้งๆที่ตอนแรกก็ไม่ได้รู้สึกแบบนี้

คนข้างๆหันมามองผมก่อนจะ ทำหน้ายู่ใส่อย่างหงุดหงิด พอดีที่ผมหันไปเห็นพอดี ทำไมผมถึงมองว่าน่าเอ็นดูเหลือเกิน


“อย่าทำหน้าแบบนั้นซิ มันน่า...”


“น่าอะไรครับ”


 น่ารักไง แต่ผมเลือกไม่พูดดีกว่า ผมยกบุหรี่ในมือขึ้นสูบก่อนจะพ่นมันออกไปพร้อมกับการหายใจออก


“ให้เดาว่ามึง ต้องมีเรื่องไม่สบายใจแล้วมายืนมองพระจันทร์เหมือนในละครชัวร์ เดาถูกไหม”


ผมเลี่ยงคำถามนั้นแล้วเปิดคำถามใหม่ ผมเชื่อการทำลายความอึกอัดระหว่างคนที่รู้จักกันใหม่ต้องเริ่มจากการเรียกแทนกันเนี่ยแหละ

 ร่างเล็กข้างๆหันมามองผม


 “ก็ใช่ครับ แต่ไม่ได้ทำตามละคร มันดูอ่อนแอและน้ำเน่าไป”


อยู่ๆผมก็หัวเราะออกมา ทำให้คนข้างๆ มองผมด้วยสายตาไม่พอใจ มองหันไปจ้องตากับคนข้างๆแล้วยกมือขึ้นขยี้หัวเบาๆ


“นายนี่มันเด็กจริงๆ มองก็รู้ว่าต้องดูละครให้จบก่อนนอนตลอด”


คนข้างๆเอี่ยวตัวหลบแล้วทำปากบึนใส่ผม ผมลองมองคนข้างๆก็ไม่แปลกใจที่จะดูเด็ก ก็ดูจากการแต่งตัวก็เป็นชุดนักเรียนของ

เด็ก.ปลาย


“ผมไม่เด็กแล้วนะ ปีนี้ผมก็จบม.ปลายแล้ว”


ตัวเล็กหันไปมาเถียงคอเป็นเอ็น


“อ่า ยอมก็ได้ ไหนพ่อหนุ่มที่โตเป็นผู้ใหญ่แล้วมีอะไรกวนใจอยู่เหรอ บอกพี่ชายคนนี้หน่อยซิครับ”


ผมพูดพร้อมกับทำหน้าจริงจัง ให้เหมาะกับการคุยกับผู้ใหญ่สักหน่อย


“อย่ามากวนตีนได้ไหม ”


“เอ้า อะไรของมึงเนี่ย กูก็เชื่อว่ามึงโตแล้วไง”


“เห็นหน้าแล้วมันหงุดหงิดอ่ะ”


ทุกการกระทำของคนข้างๆมันทำให้ผมยิ้มได้อย่างง่ายได้ คนอะไรจะน่าเอ็นดู น่ารักได้ขนาดนี้


“กูยอมแล้ว เดี๋ยวกูเล่าเรื่องของกูให้ฟังดีไหม”


 มือยกแขนของตัวเองขึ้นแล้ววางพาดที่ไหล่คนตัวเล็ก


“ไม่ได้อยากฟัง “


 คนข้างๆ สะบัดแขนที่วางพาดออกผมออก


“มึงเนี่ย ดื้อจริงๆ “


ผมยกมือผลักหัวคนข้างๆเบา


“วันนี้เป็นวันเหี้ยๆของกูวันหนึ่งเลยนะ กาแฟก็หกใส่เสื้อแต่เช้า ลูกค้าก็ให้แก้แบบใหม่ โทรศัพท์ก็เสือกตกส้วม”


คนตัวเล็กข้างๆก็หันมามองผม แต่คงไม่รู้ว่าผมจ้องเขาอยู่ตลอดทำให้เราสบตากัน มีความรู้สึกแปลกแล่นเข้ามา เมื่อได้มองแววตาใส

ซื่อของเด็กข้างๆ จนผมต้องหันหนี


“แถมมาโดนแฟนทิ้ง”


หลังจากที่ผมพูดจบผมก็รู้สึกเหมือนมีแรงดึงเบาๆจากชายเสื้อ ผมหันไปมองว่ามือเล็กๆ กำลังจับที่ปลายเสื้อของผมแล้วดึงเบาๆ 

สายตาของคนข้างยังจ้องอยู่ที่ผม


“แต่ละอย่างก็ดูเหมือนพี่จะโง่เองทั้งนั้น”


ผมหัวเราะออกมาเมื่อได้ยินเสียงเล็กๆ อู้อี้ตอบกลับมา ก็ได้แต่ถามตัวเองตลอดว่าทำไมเรื่องที่พูดไปกลับไม่รู้สึกหดหู่เหมือนก่อนหน้า

นี้เลยเมื่อเล่าให้คนข้างๆฟังแถมโดนด่าอีก


“อ่า งั้นคนฉลาดช่วยบอกพี่ได้ไหมครับ ว่าคนฉลาดเจอเรื่องอะไรมา คนโง่ๆอยากรู้มากๆเลยครับ”


ผมก้มลงไปจ้องหน้าของเด็กข้างๆ ทำหน้าจริงจังอย่างล้อเลียน

คนข้างๆผมทำเพียงแค่หันหน้าหนีไปมองพระจันทร์ด้านหน้า


“เอ่อผม....”


 เขาลังเลอยู่พักนึงก่อนจะตัดสินใจพูดออกมา


“ผมทะเลาะกับแม่เลยออกจากบ้านมา”


 หลังจากพูดจบเขาก้มลงมองพื้นแล้วเอาเท้าเขี่ยดินข้างหน้าไปมา เหมือนพยายามทำให้ตัวเองไม่ว่าง ผมสังเกตเห็นน้ำตาที่หยดลง

บนดินข้างหน้าของคนข้างๆ ผมไม่รู้ว่าเรื่องเขาทะเลาะมันใหญ่โตแค่ไหนที่ทำให้เด็กที่เถียงผมคอเป็นเอ็นเมื่อกี้กลายเป็นแบบนี้ ผม

ทำได้เพียงขยับเข้าใกล้แล้ว ใช้มืออ้อมไปผลักหัวอีกฝ่ายเบาๆให้หัวอีกคนมาพิงตรงไหล่ของผม เราอยู่แบบนั้นนานมากพอที่คนข้างๆ

จะหยุดร้องไห้แล้วเอาหัวออกจากไหล่ผม ผมล้วงกระเป๋าเพื่อจะหยิบบุหรี่ตัวที่สามในคืนนี้มาดูด แต่มีมือเล็กมาจับมือผมเอาไว้ ผม

หันไปมองด้วยสีหน้างงๆ


“บุหรี่ไม่ดี เลิกเหอะ ”


ผมได้ยินแบบนั้นเลยใส่ซองบุหรี่ไว้ในกระเป๋ากางเกงแบบเดิม


“ทำไม ไม่บอกกูตั้งแต่ตัวที่แล้ว”


“ก็พี่เป็นคนแปลกหน้าจะไปห้ามได้ไง”


“ตอนนี้ไม่แปลกแล้วหรอ “


 ผมยิ้มให้ตัวเล็กข้างๆก่อนจะจับมือคนข้างๆไว้ เขาหันมามองผมอย่างงงๆ


“ก็มือกูมันว่าง ไม่ชอบเวลามือว่างเลยต้องหาอะไรจับ”


 ผมหัวเราะเบาๆออกมาพร้อมกับมองหน้าตัวเล็กข้างๆ เขาเพียงหันมาเบะปากใส่ผม แล้วกันกลับไป ตั้งแต่แรกสมองของคังดงโฮมีแต่

คำว่า น่าเอ็นดู น่าเอ็นดู น่ารัก เต็มไปหมด

ผมเปลี่ยนจากการกุมมือเป็นสอดประสานนิ้วกับนิ้วเล็กแล้วบีบเบาๆ ให้คนข้างรับรู้

คนข้างๆก็บีบมือผมกลับอย่างที่เรารู้กัน

ผมยกข้อมืออีกข้างดูนาฬิกา บอกว่านี่ก็เวลา 02.04 แล้วเป็นเวลาสองชม.ที่ยืนกันอยู่ตรงนี้


“ดึกแล้วนะมึงกลับไหม” ผมหันไปถามตัวเล็กข้างๆ


เขาหันมาพยักหน้า คนตัวเล็กกำลังจะปล่อยมือจากผม ผมรู้สึกว่าไม่อยากปล่อยมือเลยแต่คงทำอะไรไม่ได้

หลังจากที่ปล่อยมือจากผมเขาก็หันหลังกลับแล้วเดินขึ้นไปที่ถนน ผมชั่งใจอยู่พักหนึ่งก่อนจะ เอ่ยถามคนตัวเล็กที่หันหลังให้


“กูชื่อคังดงโฮ มึงชื่ออะไรนะ?”


อย่างน้อยผมควรรู้จักชื่อของเด็กคนนี้สักหน่อย ผมคงไม่ปล่อยให้ไปง่ายๆแน่

คนตัวเล็กหันหน้ากลับมาแล้วเอ่ยแผ่วเบา


 “ชื่ออีแดฮวีครับ”


เราหยุดยืนมองหน้ากันอีกพักก่อนที่ผมจะเดินไปใกล้ๆก่อนคิดยกมือยีหัวของคนตรงหน้าอีกรอบ แต่เสียงของคนตรงหน้าก็เอ่ยบาง

อย่างออกมา



“แม่ผมบังคับให้ผมไปเรียนที่เมกา ผมเลยทะเลาะกับแม่”



มือของผมชะงักแล้ววางลงบนกลุ่มผมเบาๆ โดยไม่ได้ทำอย่างอื่น อีแดฮวีชื่อของเด็กนี้ซินะ เด็กที่กำลังหันหลังให้ผมแล้วเดินออกไป

อย่างช้าๆ




ตอนแรกก็คิดว่าแดฮวีจะเป็นสิ่งแรกของวันนี้ที่เป็นเรื่องดีๆซะอีก ...

เสียงหัวเราะเบาๆของผมดังออกมาตอนที่แดฮวีเดินไปลับตาแล้ว

 ชีวิตจะซวยไปถึงไหน เรื่องดีเกิดขึ้นเมื่อ 12.04 am แล้วจบลงที่ 02.04 am ความสุขผ่านไปเร็วจัง ...






ผมลืมตาขึ้นมาเมื่อคิดขึ้นได้ว่าตัวเองนอนอยู่ตรงนี้นานแล้ว ดันคิดถึงเรื่องเก่าๆอีก แต่ก็ว่าไม่ได้ ก็คิดมาตลอดสองปีนี่นา 

ไม่คิดว่าเวลาสองชม.จะทำให้ผมต้องมาที่นี้หลังเลิกงานตลอดเวลาที่ผ่านมา

ไม่อยากยอมรับว่ากำลังเฝ้ารอเด็กคนนั้น

ไม่อยากยอมรับว่ากลัวว่าเด็กนั้นกลับมาแล้วจะไม่ได้เจอกัน

แต่มันก็ทำให้ชีวิตผมมีจุดมุ่งหมายขึ้นมาบ้าง

ผมลุกขึ้นแล้วปัดไปมาที่กางเกงแล้วเดินขึ้นมาจากริมน้ำ

“คังดงโฮ”
02.04 am



....................................................................................................................................................................

สวัสดีจ้าาาา 
เราพึ่งกลับมาแต่งฟิคครั้งแรกในรอบ 9 ปี ก่อนหน้านี้จำได้ก็ประมาณม.ต้น 
ร้างมือไปนานมาก เป็นเพราะ แบคฮวีเรือนี้เลย ที่ทำให้กลับมาแต่งอีกครั้ง
ช่วงนี้เครียดๆด้วยทำธีสิสแล้วต้องเขียนบท แล้วไม่ค่อยอิน อยากเขียนอะไรที่อิน
แต่อะไรที่อินมันทำเป็นหนังธีสิสไม่ได้ TT  
ช่วยอ่านและคอมเม้นกันหน่อย ดีไม่ไม่ดียังไงบอกด้วยเน้อ ตามแท็กนี้ได้เลย #1204amแบคฮวี 

ขอบคุณมากจ้าาา
04.04am. 081017


ความคิดเห็น